แกงไก่กับหยวกกลัวย
แกงไก่บ้านกับหยวกกล้วย เพื่อนๆ เคยมีเมนูแห่งความหลังกันไหมคะ สำหรับพิมเนี่ย อยากจะบอกว่ามีหลายเมนูเลย และหนึ่งในนั้นก็คือเมนู แกงไ บ้านกับหยวกกล้วย ที่พิมจะมาทำให้เพื่อนๆ ได้ดูกันในวันนี้นี่แหละค่ะ
หลายปีก่อนตอนพิมย้ายไปอยู่บ้านคุณสามีที่สุราษฎร์ ที่บ้านเค้าจะมีแม่บ้านคอยทำอาหารให้ทุกคนในบ้านได้ทานกันค่นะคะ หนึ่งในเมนูที่แม่บ้านชอบทำให้กินอยู่บ่อย ๆ ก็คือ แกงไก่กับหยวกกล้วย หรือไม่ก็แกงหยวกกล้วยกับหมูสามชั้น เรียกได้ว่าเป็นเมนูสามัญประจำบ้าน เพราะในแต่ละอาทิตย์ จะต้องมีเมนูนี้อย่างน้อย 2 ครั้งใน 1 สัปดาห์เลยอ่ะค่ะ
ตอนแรกที่พิมไปอยู่ใหม่ๆ และเจอกับเมนูนี้ พิมก็แปลกใจนะคะว่าคนที่นี่เค้ากินหยวกกล้วยกันด้วยเหรอ เพราะตอนสมัยพิมเด็ก ๆ หยวกกล้วยมักจะถูกเอามาสับๆ ให้ละเอียดเป็นอาหารไก่ซะมากกว่า (สมัยเด็กๆ บ้านพิมเลี้ยงไก่ไข่ ไก่บ้านค่ะ) พอมาเห็นคนที่นี่เค้ากินหยวกกล้วยกันก็เลยแอบแปลกใจเล็กๆ ที่สำคัญเค้ายังกินแบบเอร็ดอร่อยด้วยนะคะ
ตอนที่คนที่บ้านคุณสามีรู้ว่าพิมไม่เคยกินแกงหยวกกล้วยมาก่อน เค้าก็แอบแปลกใจเหมือนกันค่ะ แล้วก็คะยั้นคะยอชวนให้พิมกิน แต่บอกตามตรงว่าตอนนั้นพิมไม่กล้ากินนะคะ แบบว่านึกรสสัมผัสมันไม่ออกเลย ว่าจะเป็นแบบไหน จะแข็งจะนุ่มจะหยุ่นหรือจะกรอบจะจืดหรือจะเค็ม >_< แต่ในที่สุดแล้ว เมื่อได้ลองกิน แค่ครั้งแรกพิมก็ติดใจล่ะค่ะ หยวกกล้วยที่เคี่ยวไปกับน้ำแกงจนนุ่ม มันมีครบทุกรสชาติเลยทั้งความเผ็ด หอม นุ่มแต่ไม่เละ และชุ่มไปด้วยน้ำแกง บอกได้เลยว่าอร่อยมาก และหลังจากวันนั้น แกงหยวกกล้วยก็เลยกลายเป็นอีกหนึ่งแกงโปรดและแกงในความทรงจำของพิมไปอีกหนึ่งแกงอ่ะค่ะ
:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง ::
- ไก่บ้าน สับเป็นชิ้นพอคำ 500 กรัม
- หยวกกล้วย หั่นชิ้นพอคำ บีบน้ำ 400 กรัม
- พริกแกงกะทิใต้ 1/4 ถ้วย
- กะปิแกง 1/2 ช้อนโต๊ะ
- กะทิอัมพวา 2 กล่อง (400 มิลลิลิตร)
- น้ำเปล่า 1 + 1/2 ถ้วย
- น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
- หยวกกล้วย หั่นชิ้นพอคำ บีบน้ำ 400 กรัม
- พริกแกงกะทิใต้ 1/4 ถ้วย
- กะปิแกง 1/2 ช้อนโต๊ะ
- กะทิอัมพวา 2 กล่อง (400 มิลลิลิตร)
- น้ำเปล่า 1 + 1/2 ถ้วย
- น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
-ใบมะกรูด 
:: วิธีทำ ::
ก่อนจะไปลงมือทำ พิมอยากจะชวนเพื่อน ๆ มาดูหน้าตาของไก่บ้านกันก่อนนะคะ เผื่อหลายคนจะสงสัยว่าไก่บ้านนี่หน้าตาเป็นยังไง แต่ว่าไก่บ้านของพิมในวันนี้เนี่ยมาแบบไม่เต็มตัวค่ะ คือตอนซื้อน่ะพิมซื้อมาแบบเต็มตัวนะคะ มีหัว มีขาครบ กิโลละ 150 บาท ตัวนี้หนัก 1 กิโลเป๊ะๆ แต่ตอนที่ทุกส่วนของไก่ยังอยู่ครบ พิมก็ไม่ได้คิดว่าจะถ่ายรูปค่ะ แต่พอพิมสับขา สับหัวเสร็จปุ๊บ พิมก็นึกได้ว่าน่าจะถ่ายรูปไก่บ้านทั้งตัวมาฝากเพื่อนๆ สักหน่อย เผื่อว่าใครยังไม่เคยเห็น และกลัวจะซื้อไม่ถูกอ่ะนะคะ ก็เลยออกมาเป็นไก่บ้าน ที่หัวไม่มี ขาไม่มีอย่างในภาพด้านล่างนี่แหละค่ะ
หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าแล้วไก่บ้าน แตกต่างจากไก่เนื้อที่ขายกันตามตลาดทั่วไปยังไง .. เอาที่พิมรู้นะคะ ไก่บ้านจะเลี้ยงยากกว่า และมีอัตราการเติบโตช้ากว่าไก่เนื้อ เมื่อโตเต็มที่ก็จะตัวเล็กกว่า เนื้อน้อยกว่าไก่เนื้อ แต่เนื้อแน่น และเนื้อเหนียวกว่า บางคนว่ากินอร่อยกว่า ดังนั้นจึงมีราคาสูงกว่าไก่เนื้อประมาณ 2 เท่า ส่วนทางด้านโภชนาการ ในน้ำหนักที่เท่ากัน เช่น 100 กรัม ไก่บ้านก็จะมีแคลอรี่และไขมันน้อยกว่าไก่เนื้อประมาณ 25 - 30% ..... ประมาณนี้อ่ะค่ะ
แต่ว่าในปัจจุบันนี้ไก่บ้านที่ขายกันตามตลาดสดทั่วไป น้อยร้านนักที่จะเป็นไก่บ้านแท้ ๆ นะคะ ส่วนใหญ่มักจะเป็นไก่บ้านที่ถูกนำมาเลี้ยงในระบบฟาร์มเช่นเดียวกันไก่เนื้อ แต่พิมว่าถ้าจะทำเมนูแกงแบบบ้านๆ หรือต้มยำ ยังไงถ้าใช้ไก่บ้านก็กินอร่อยกว่าไก่เนื้ออ่ะค่ะ 
เล่าเรื่องไก่บ้านกันไปพอสมควรแล้ว เรามาลงมือทำแกงกันดีกว่าเน๊าะคะ
เริ่มต้นก็ให้เราเทกะทิอัมพวาใส่ลงในหม้อที่เราจะใช้แกง1/2กล่องกว่าๆ ค่ะ 
จากนั้นนำขึ้นตั้งเตาไฟ โดยใช้ไฟกลางนะคะ พอกะทิเดือดก็ โขลกพริกแกงกับกะปิรวมกัน แล้วนำไปละลายในหม้อน้ำกะทิค่ะ 
แล้วก็ใส่ไก่บ้านที่เราสับเป็นชิ้นพอคำ และล้างสะอาดดีแล้ว ลงไปผัดกับเครื่องแกงให้หอมนะคะ
รอให้ไก่ด้านนอกเริ่มสุกหนังไก่ตึง ๆ หน่อย (ใช้เวลาสักแป๊บ) ก็เทน้ำเปล่าและกะทิที่เหลือทั้งหมดลงไปค่ะ 
พอน้ำแกงเดือดก็หรี่ไฟลงเป็นไฟอ่อน แล้วก็เคี่ยวไก่กับน้ำแกงไปสัก 10 นาที เพื่อให้ไก่นุ่มขึ้นนะคะ
และพอไก่นุ่มตามต้องการแล้ว ก็ใส่หยวกกล้วยลงไปค่ะ (บีบน้ำหยวกกล้วยออกก่อนนะคะ)
ปรุงรสด้วยน้ำปลาดี ๆ คนพอเข้ากัน 
เคี่ยวหยวกกล้วย กับไก่ กับน้ำแกงไปสักแป๊บ จนกระทั่งหยวกกล้วยนิ่นุ่ม และดูดซึมน้ำแกงเข้าไป ก็ใส่ใบมะกรูดฉีกๆ ลงไป (แนะนำให้ฉีกนะคะ เพราะว่ากลิ่นน้ำมันของใบมะกรูดจะออกมา ทำให้แกงเราหอมขึ้นค่ะ) แล้วตักน้ำแกงขึ้นมาชิมรสชาติว่าได้รสตามที่เราต้องการไหม และเผ็ดตามแบบกลมกล่อมนะคะ ซึ่งหากขาดรสไหนไป เพื่อนๆ ก็เติมเพิ่มได้ตามชอบเลยค่ะ หรือถ้าหากรสจัดไปเผ็ดไปเค็มไป (เพราะบางทีพริกแกงที่เราซื้อมา เค้าอาจจะใส่เกลือมาเยอะแล้ว) ก็เติมน้ำกะทิหรือน้ำเปล่าลงไปได้อีกสักหน่อย แต่ค่อย ๆ เติม อย่าเติมทีเดียวเยอะๆ เดี๋ยวน้ำแกงใสไป แล้วจะแก้ไขได้ยากนะคะลองไปทำกันน่ะคร้รับร้องว่าอร่อยคร้ ที่มา https://www.pim.in.th
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น